องค์กรยุคใหม่ ที่ต้องอาศัยความรู้ ความสามารถของพนักงาน ก็ต้องคิดหาวิธีการที่จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร เมื่อพนักงานได้รับการบริการที่ดีจากองค์กร ก็จะมีความทุ่มเทให้บริษัท หลักการบริการองค์กรก็ต้องอาศัยผู้บริหารที่มี ทักษะ ความรู้ และมีจิตวิทยาการบริหารคน ควบคู่เข้ามาด้วย ถ้าเรามาพิจารณาเรื่อง กระบวนการบริหารที่มีสิ่งที่ใส่เข้าไป (Input) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 M เริ่มตั้งแต่ คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ และ การจัดการ คนก็จะเป็นส่วนประกอบแรกที่จะทำให้องค์กรจะไปได้หรือไม่ ต่อมาคือ เงิน ถ้าองค์กรใดที่บริหารด้าน ค่าใช้จ่ายให้ประหยัด มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้องค์กรมีต้นทุนที่ต่ำ สามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้ สามารถกำหนดราคาขาย ได้ในราคาที่ถูกกว่า ได้กำไรมากกว่า สำหรับวัสดุอุปกรณ์ก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้บริษัท มีสินค้าที่ดี มีมาตรฐาน ก็เพราะว่ามีวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง ก็จะทำให้วัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้า เกิดความมั่นใจในกระบวนการผลิต สินค้าที่ออกมาได้มาตรฐาน ไม่มีการเคลมสินค้ากลับมายังบริษัท ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง มีการส่งมอบสินค้าได้ทันเวลา ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา จะมีส่วนทำให้สินค้ามีคุณภาพ ส่งผลให้ยี่ห้อ/แบรนด์ ของสินค้าติดตลาด นั่นแค่การบริหารแค่ 3 M เหลือ M ตัวสุดท้าย คือ การบริหารจัดการ ซึ่งผู้บริหารจะต้องคิดแผนกลยุทธ์ในการบริหารองค์กร ที่เป็นเทคนิคใหม่ๆ เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรให้มากที่สุด
ส่วนใหญ่ผู้บริหารองค์กร ก็จะมองถึงพนักงานที่อยู่ภายในองค์กร ว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้บริษัทได้พัฒนาก้าวไกล โดยใช้พนักงานที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งบางองค์กรเน้นการพัฒนาพนักงาน ให้มีศักยภาพในการทำงานให้ได้มากที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นบริษัทก็ต้องนึกถึงคนที่อยู่ร่วมกับพนักงาน คือ ครอบครัว ต้องมีความสุขไปด้วย ถ้าคนในครอบครัวพนักงานไม่มีความสุขก็จะทำให้ มีผลต่อการทำงาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นผู้บริหารองค์กร จึงต้องมีการทบทวน สวัสดิการที่มีอยู่ภายในบริษัท นอกจากจะมีให้กับพนักงานภายในองค์กรแล้ว ยังต้องพิจารณาให้กับครอบครัวพนักงานอีกด้วย เพื่อเกิดกรณีเจ็บ ป่วย จะได้ใช้สิทธิสวัสดิการของบริษัท มามีส่วนช่วยเหลือ กรณีดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดี ไม่ลาออกไปจากองค์กรที่เขาทำงานอยู่ แต่การให้สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลแก่พนักงานและครอบครัว ก็จะส่งผลถึงค่าใช้จ่ายของบริษัท ที่มากขึ้น ยิ่งพนักงานเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีสวัสดิการให้กับพนักงานเป็นปีๆ ไป
ผู้บริหารองค์กรต้องคิดหาวิธีการ ที่จะทำให้ต้นทุนการให้สวัสดิการพนักงาน ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันได้ ก็ต้องอาศัยบริษัทประกันสุขภาพที่จะเข้ามามีบทบาทในการที่จะมีส่วนรับในเรื่องนี้ไป เพราะว่าการที่บริษัทประกันได้เข้ามามีบทบาท จะมีส่วนทำให้ผู้บริหารองค์กร สามารถทราบต้นทุนที่แท้จริง ของแต่ละเดือน แต่ละปีได้เลย ไม่ต้องเช็คข้อมูลพนักงานที่ไปใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่ละปี และมีการรักษาต่อเนื่อง ก็ไม่สามารถเช็คข้อมูลในส่วนนี้ได้เลย เพราะว่าการรักษายังไม่จบ คำถามที่ตามมาก็คือ บริษัทที่จะใช้บริษัทประกันสุขภาพเข้ามามีส่วนช่วยในการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายองค์กร จะต้องพิจารณาในส่วนใดของพนักงานบ้าง เพื่อเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ
จากที่ผู้เขียนเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรหลายแห่ง ก็มักจะใช้อายุของพนักงาน ภายในองค์กร ผู้บริหารจะต้องสำรวจอายุพนักงาน และครอบครัว (กรณีที่ครอบคลุมถึงครอบครัว) เพื่อที่จะได้ทราบว่า จำนวนอายุงานของพนักงานส่วนใหญ่ อยู่ที่อาจะประมาณเท่าใด ซึ่งจะขอยกตัวอย่างข้อมูลที่ ผู้เขียนเคยทำเป็นเอาไว้ สำหรับองค์กรแห่งหนึ่ง จากตัวอย่างที่ได้ยกมาจะเห็นได้ว่าบริษัทแห่งนี้ มีอายุพนักงานเฉลี่ยที่ 20-30 ปี เสียเป็นส่วนใหญ่ การทำประกันสุขภาพ ก็จะไม่คุ้ม ที่บริษัทจะต้องจ่ายเป็น ค่าใช้จ่ายต่อหัว ของพนักงานทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่พนักงานในช่วงอายุดังกล่าว มักจะไม่ค่อยเจ็บป่วย เข้ารักษาพยาบาล ในโรงพยาบาล
การจ่ายที่เป็นตัวเงิน โดยที่พนักงานไม่ได้เจ็บป่วย บริษัทก็ไม่คุ้มที่จะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันที่เป็นตัวเงินต่อพนักงานเป็นรายคน ถ้าบริษัทเลือกใช้ให้พนักงาน ใช้สวัสดิการที่เป็นของบริษัทจะคุ้มกว่า เพราะว่าอายุพนักงานส่วนใหญ่ มีอายุค่อนข้างน้อย การเจ็บป่วยที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ก็จะน้อยตามไปด้วย ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ ผู้บริหารควรตัดสินใจให้ใช้สวัสดิการที่อยู่ในรูปสวัสดิการของบริษัท จะคุ้มกว่าที่จะเลือกใช้บริษัทประกันสุขภาพ
การบริหารจัดการของผู้บริหาร ก็จะต้องมีความรอบคอบในการตัดสินใจ ที่จะเลือกใช้แผนกลยุทธ์อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับพนักงานในองค์กรอีกเช่นกัน ซึ่งถ้าจะให้เกิดความมั่นใจ และแม่นยำในการตัดสินใจ ก็ควรจะมีการเก็บข้อมูลของพนักงานที่มีการเจ็บป่วย ทั้งที่เป็น การป่วยแบบผู้ป่วยนอก และแบบผู้ป่วยใน เป็นข้อมูลประกอบด้วย ก็จะยิ่งทำให้การตัดสินใจ ได้ง่ายและแม่นยำขึ้น