การบริหารงานบุคคลเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน  ถ้าหน่วยงาน HR  ไม่มีข้อมูลในตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อมูล  ก็จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน  ผู้บริหารได้ตัดสินใจแก้ปัญหาผิดพลาดตามมา  จากที่ผู้เขียนได้มีข้อมูลจาก  ผู้บริหารองค์กรหลายๆ บริษัท  ที่เคยมาเล่าสู่กันฟัง  ถึงเรื่องความแปลกของพนักงานที่มี  พนักงานเก่าๆ  อายุงานมากกว่า 3  ปี  ขึ้นไป  ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัท  เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  ทุกปี   และเมื่อพนักงานลาออกไปแล้ว  อีกไม่กี่เดือน  พนักงานดังกล่าวได้  ขอกลับเข้ามาทำงานใหม่อีกครั้ง  โดยอ้างเหตุผลที่ลาออกไป  เพราะว่า  ทำธุรกิจส่วนตัว  ไปดูแลบิดา มารดา   และเมื่อกลับเข้ามามักจะขอให้ผู้บริหารองค์กร  พิจารณาให้นับอายุงานต่อเนื่องอีกด้วย  ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานที่มีผลการปฏิบัติดีเกือบทั้งสิ้น

จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว  ผู้เขียนก็ได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลของบริษัทเพิ่มเติมในเชิงลึกว่าทำไม่พนักงานจึงมีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้   เมื่อเข้าไปตรวจสอบข้อมูลโครงสร้างค่าจ้างที่บริษัทได้ดำเนินการอนุมัติให้ใช้อยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งก็ได้ทราบว่า  สิ่งที่เกิดความแปลกและผิดปกติ  ที่บริษัทได้มีนโยบายด้านค่าจ้างเริ่มต้น   สำหรับพนักงานที่เข้าปฏิบัติงานใหม่ จะได้รับค่าจ้างวันละ 300  บาท  ตามกฎหมายแรงงานที่ได้ประกาศใช้ใหม่  แต่สำหรับพนักงานเก่าที่อยู่กับองค์กรมานานแล้ว  บางคนยังไม่ได้ปรับให้กับพนักงาน แต่ก็ได้ชี้แจงกับพนักงานไว้ว่า  ประมาณสิ้นปีจะทำการปรับให้กับพนักงานเก่าตามสัดส่วนของอายุงาน  ซึ่งผู้บริหารมองว่า  พนักงานเก่าได้รับทั้งค่าครองชีพ  ค่าวิชาชีพ  ได้มากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว  จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามมา

จากข้อมูลที่ได้เข้าไปดูในระบบค่าจ้างพบว่า  พนักงานเก่าที่อายุงาน  3  ปีขึ้นไป  บางคนยังไม่ได้ค่าจ้างวันละ   300   บาท  แต่จะได้ค่าครองชีพ และ วิชาชีพ  รวมแล้วเท่ากับ  320  บาท  โดยประมาณ  จึงน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่  ทำให้พนักงานได้ตัดสินใจลาออก  แล้วไปสมัครใหม่ในตำแหน่งหน้าที่เดิม   แต่สำหรับประเด็นนี้  ผู้เขียนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เสียเลยทีเดียว  ลองให้ทางฝ่าย HR  ได้เข้าไปสอบถามพนักงานในเชิงลึกด้วยตนเอง  ว่าเหตุผลที่แท้จริง  ของพนักงานที่ลาออกไปว่า  เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่    เมื่อหน่วยงาน HR  เข้าไปสอบถามพนักงานที่ได้ลาออกแล้วกลับมาสมัครใหม่  ประมาณ  3  คน  จึงได้คำตอบที่แท้จริงเหมือนกันเลยว่า  เพราะอยากได้อัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเท่ากับพนักงานใหม่  และเมื่อลาออกไปแล้วเข้ามาในตำแหน่งเดิม พนักงานยังได้รับค่าครองชีพ  และค่าวิชาชีพอีกด้วย  จึงทำให้พนักงานเก่าตัดสินใจลาออกจากบริษัท  แล้วกลับมาสมัครใหม่  เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

จะเห็นได้ว่าข้อมูลเชิงลึกในลักษณะนี้  ฝ่าย HR  อาจจะต้องหาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาสนับสนุนเพิ่มเติม และต้องเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ด้วย  ถ้าทราบข้อมูลในลักษณะนี้ตั้งแต่เริ่มแรก การตัดสินใจแก้ปัญหา  การลาออกของพนักงานแล้วมาสมัครใหม่  ก็คงไม่น่าจะเกิดขึ้น  การกระทำในลักษณะนี้  ถ้ามองไปแล้ว  ก็อาจจะถือได้ว่า  ฝ่าย HR  น่าจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับพนักงานด้วย  ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา  การปล่อยให้เกิดลักษณะนี้  จะทำให้บริษัทเกิดความเสียหายหลายอย่างตามมา  เช่น  ค่าใช้จ่ายทางธุรการ    การเสียโอกาส  ค่าเสียเวลาของผู้บริหารในการเซ็นเอกสารการลาออก และการรับเข้าใหม่  นอกจากนั้นแล้ว  ทำให้พนักงานมองภาพบริษัท  ไปในทิศทางที่เป็นลบมากกว่า   ซึ่งพนักงานมองว่าผู้บริหารไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พนักงานที่เป็นพนักงานเก่า  ไปดูแลแต่พนักงานใหม่  ทั้งๆ ที่พนักงานที่เข้ามาใหม่  ยังปฏิบัติงานด้วยตัวเองไม่ได้เลย  ต้องอาศัยพนักงานเก่าที่ทำงานมานาน  มาสอนงานให้  มาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้  แต่รายได้กลับต่ำกว่าพนักงานที่เข้ามาใหม่เสียอีก  ซึ่งเรื่องนี้พนักงานเก่าได้เล่าให้ฟังอย่างมีอารมณ์มากที่สุด

แนวทางการแก้ไขของกรณีดังกล่าว  ผู้เขียนได้แนะนำในลักษณะนี้เพื่อไม่เกิดปัญหาซ้ำ  ตามที่มีข้อมูลเชิงลึก  กรณีที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ  ควรพิจารณาปรับค่าจ้างให้กับพนักงานเก่าที่อยู่ภายในองค์กรเสียก่อน  เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกในลักษณะเช่นนี้  อาจจะเลือกปรับค่าจ้างในลักษณะผลกระทบแบบคลื่นกระทบฝั่ง  โดยไม่ให้พนักงานเกิดความรู้สึกว่าเขาถูกทอดทิ้ง  ถ้าเป็นการปรับแบบเต็มตามจำนวนที่ปรับตามค่าจ้างขั้นต่ำเลย  จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายบริษัทเป็นจำนวนมาก  ฉะนั้นการเลือกแผนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ  ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นเร่งด่วน และความอยู่รอดของบริษัทด้วย